31 มีนาคม 2559 @ ความรู้สึก/ ไปแจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุดกับเจ้าพนักงาน สน.ทุ่งมหาเมฆ และทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรม กับ ผบ.ตร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ:

ความรู้สึกของดิฉัน ในวันที่ไปแจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุดกับเจ้าพนักงาน สน.ทุ่งมหาเมฆ และทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรม กับ ผบ.ตร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นั้นทำให้ดิฉันทบทวนความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นในวันที่ต้องมาในฐานนะ "ผู้ต้องหา" หลังจากที่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ เมื่อต่อสู้กับบริษัทต่างชาติที่มาจากประเทศออสเตรเลีย เราก็มาบอกสถานฑูตออสเตรเลียว่าบริษัทสัญชาติประเทศคุณ ทำแบบนี้ ทำร้ายคนไทยที่คุณมาหาผลประโยชน์ เพราะเชื่อว่าระดับประเทศที่ประกาศว่ามีระบบที่ดี มีธรรมาภิบาลด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม กลับกลายเป็นดิฉันถูกข้อกล่าวหา "หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา" จากบริษัทเอกชนนั้นแทน


ดิฉันและเพื่อนๆ ร่วมอุดมการณ์ที่มาให้กำลังใจ


ทางเจ้าหน้าที่กำลังประสานงานกับทางสำนักอัยการ
เพื่อขอหนังสือคำสั่งไม่ฟ้อง

วินาทีที่นั่งรอ ทำให้นึกถึงภาพเก่าที่ดิฉันจดจำได้ไม่ลืมเลือน คือ การที่ต้องถูกให้พิมพ์ลายนิ้วมือในฐานะผู้ต้องหา จากผู้กล่าวหา เคยมีคำถามในสมองเหมือนกันว่า มีคดีมากมายที่ผู้ถูกกล่าวหากลายเป็นผู้ต้องหาเองในที่สุด ถ้ายุติธรรมทำไมไม่พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ทั้งสองฝ่าย ประเทศไทยถึงมีแพะรับบาปมากมาย คนผิดกลายเป็นถูก คนถูกกลายเป็นผิด ใครรู้กฎหมายมากกว่าคนนั้นจะกลายเป็นคนถูก ในฐานะชาวบ้านทำไมตำรวจซึ่งเป็นที่พึ่งของประชาชน จึงไม่ได้รับการช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่เรื่องที่ดิฉันพูดก็เป็นข้อเทจจริงคือ ชาวบ้านถูกแจ้งจับมีหลักฐานชัดเจน และเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ชาวบ้านมีความกังวลใจ

(ขอบคุณภาพพิมพ์ลายนิ้วมือจากการเสริช์ Google)

หลังจากได้คำสั่งไม่ฟ้อง จากสำนักอัยการแล้ว ดิฉันกับพี่ๆ ที่มาให้กำลังใจ ได้ออกจาก สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อไปร่วมกันช่วยเรียบเรียงข้อความเพื่อแจ้งความกลับให้ดำเนินคดีกับเจ้าพนักงานสอบสวนที่ส่งสำนวนฟ้องดิฉันในคดี "หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา" ให้ถึงที่สุด เพื่อให้เจ้าพนักงานสอบสวน ที่รู้กฎหมายและควรที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชน ไม่กล้าที่จะรังแกประชาชนอีก และแทนที่จะไม่ส่งฟ้อง เนื่องจากหากใช้ดุลพินิจแล้ว จะรู้ได้ทันทีว่า ดิฉันพูดหน้าสถานฑูตแบบมีหลักฐานไม่ใส่ร้ายป้ายสีใดๆ




ดิฉันกับพี่วันเพ็ญ พรมรังสรรค์ กำลังร่วมกันร่างหนังสือแจ้งความ



ร่างหนังสือเสร็จร่วมกันถ่ายภาพหน้า สน.ทุ่งมหาเมฆ ไว้เป็นที่ระลึก
(จากซ้ายมาขวา) คุณพริก ดิฉัน พี่ติ๋ว พี่น้อง พี่วันเพ็ญ (ใส่เสื้อสีดำทุกคน)



พวกเราทุกคนรอพบผู้กำกับเพื่ออธิบายความตั้งใจของเรา
แต่เนื่องจากท่านไม่สะดวก ทางเราจึงตัดสินใจแจ้งความเลย


ดิฉันกำลังแจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุดกับเจ้าพนักงาน

กำลังปรึกษากันเรื่องเดินทางไป สำนักงานตำรวจแห่งชาติ


มาถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดต่อหน้าประตู (ต้องทิ้งมือถือไว้ให้ด้วย)
ไปที่อาคาร 3 อาคารสำนักงานเลขานุการตำรวจแห่งชาติ

ไปที่ฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์



ดิฉันกำลังเขียนหนังสือร้องเรียนตามแบบฟอร์ม
ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึง ผบ.ตร.



ทางเจ้าหน้าที่แจ้งดิฉันว่า ภายใน 20 วันจะทราบความคืบหน้า
ซึ่งดิฉันจะนำมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้เรียนรู้ร่วมกันค่ะ




ภาพถ่ายหมู่อีกครั้งหน้าห้องรับเรื่องราวร้องทุกข์

มาถึงตรงนี้ดิฉันเคยพูดคุยกันในครอบครัวถึงอนาคต เราไม่คิดอะไรมาก จะเป็นตายร้ายดีก็ช่าง ขอให้ได้เดินหน้า เป็นบทเรียน เป็นกรณีศึกษา ให้กับนักต่อสู้ทุกคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกับนายทุนข่มเหงประชาชนที่ไม่รู้กฎหมาย ที่ถูกใช้อำนาจ ที่ประชาชนไว้ใจให้พวกเขาได้อำนาจ แต่กลับมาทำร้ายประชาชนอย่างเราที่ได้รับความเดือดร้อน

ขอบคุณพี่น้องร่วมอุดมการณ์ที่ผนึกกำลังใจร่วมต่อสู้ด้วยกัน ดิฉันยังหวังต่อในอนาคตอันใกล้นี้ว่า ผู้คนทั่วประเทศจะรวมใจกัน สกัดกั้นปัญหาระยะยาว ให้ "แร่ทองคำ เป็น แร่อนุรักษ์" จะได้ไม่ต้องมีผลประโยชน์มาให้ชาวต่างชาติหรือคนไทยด้วยกันมาแสวงประโยชน์ ถ้าใครอยากได้ประโยชน์จากแร่ทองคำ ก็ให้ประกาศไปเลยว่า ใครมาทำมาหากินในเขตที่มีสายแร่ทองคำ ต้องเสียภาษี ดิฉันมั่นใจเลยว่า ได้ค่าภาษีมากกว่าค่าภาคหลวงไม่รู้กี่เท่า และเกษตรกรทุกคนน่าจะยินดีจ่ายภาษี ดีกว่าให้นายทุนต่างชาติ มาทำลายประเทศนำทองคำไป ทิ้งความสูญเสียมากมายไว้ ค่ะ

ด้วยความนับถือ
น.ส.ชนัญชิดา ลิ้มนนทกุล
แม่บ้านและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
M: 097-229-2345
F: facebook.com/chanunchida.limnontakul
B: chanunchidaagenda.blogspot.com